
บริษัท ไลท์ แอนด์ ซาวด์ บิสิเนส ขออนุญาตคัดลอกเอกสารที่ให้ความรู้ เกี่ยวกับระบบ Dante เพื่อเผยแพร่สู่ลูกค้าของบริษัท ผ่านทางบทความ ในเว็บไซต์นี้ เพื่อให้เป็นความรู้ และความเข้าใจในระบบ ของผู้ที่ต้องการศึกษาต่อไป
ส่วนการสรุปผมจะสรูปให้เป็นประเด็นคร่าวๆ เน็ตเวิร์กทั้งหมดเป็นแบบ bi-directional คือสองทิศทาง คือไปและกลับ โดยสามารถใช้ระบบสวิตช์ธรรมดาที่เราใช้ๆ กันอยู่ปัจจุบันซึ่งนำมาใช้ได้ ในส่วนเรื่อง Latency เราสามารถกำหนดการหน่วงหรือห้วงเวลาได้เป็นแบบ fix นะ จะตั้งเป็น 1ms ก็ได้ ปกติเวลาเราเปิดเครื่องปุ๊บเราจะเห็นมันเป็น 1ms บางคนถามว่า ถ้าผมใช้สายต่อสั้นๆ ผมตั้งเป็น 0.5ms ได้มั้ย ระบบเขาเซตค่าเริ่มต้นให้ 1ms เราอยากเซตเท่าไหร่ก็เซตได้ แต่ต้องเซตให้ครบทุกเครื่องนะ ในวงมีทั้งหมดกี่เครื่องก็เซตให้เหมือนกันหมด เหมือนกับผมตั้งนาฬิกาผมก็ต้องตั้งให้ตรงกันหมดทุกคนใช่มั้ย ไม่งั้นอีกคนก็จะตั้งเวลาอีกคนไม่เท่ากันอีกละ คืออยู่คนละวง หากันไม่เจอ...
Network Topology
การเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กก็สามารถทำได้หลายแบบ ไม่จำเพาะต้องต่อเป็นเน็ตเวิร์ก Redundant อะไรแบบนี้เท่านั้นนะ เราสามารถทำ Daisy chain ได้ด้วยนะ อย่างวันนี้ที่ผมบรรยายอยู่นี่ก็เป็นการต่อแบบ Daisy chain คำว่า Daisy chain ก็คือหัวชนหาง หัวชนหาง ไปเรื่อยๆ แบบนี้ เราก็ต่อแบบอิน-เอาต์ไปเรื่อยๆ สำหรับ Daisy chain ก็มีข้อเสีย ส่วนข้อดีคือมันง่าย เหมาะกับใช้สำหรับทดสอบ หรือกับระบบที่ต้องการติดตั้งอย่างรวดเร็ว เพราะสายมันใช้ได้น้อยเส้น ไม่ต้องใช้ฮับสวิตช์ เพราะมิกเซอร์จะทำหน้าที่เป็นฮับสวิตช์ในตัว ปกติพอร์ต Primary และ Secondary ใช่มั้ย พอเราตั้งมันเป็น Daisy chain ปุ๊บ ก็คือเป็นการใช้สองพอร์ตนี้เป็นหางเชื่อมถึงกัน เป็นเหมือนสายตัว U ก็คือจะจั๊มพ์อีกช่องนึงไปหาอีกช่องนึง ไม่ใช่การครอสสายนะเป็นการส่งข้อมูลข้ามจากช่องนึงไปอีกช่องนึง ตรงนี้จะมีจุดที่ทำหน้าที่เป็นฮับสวิตช์เล็กๆ ภายในตัวมิกเซอร์ รวมถึง I/O ด้วยนะ มันจะพ่วงไปเรื่อยๆ การพ่วงแบบนี้เราเรียกว่า Daisy chain ก็คือเข้า-ออก-เข้า-ออก ไปเรื่อยๆ แบบนี้ ส่วนเน็ตเวิร์กที่ผมอธิบายส่วนที่ผ่านมานั้น เขาเรียกว่าเน็ตเวิร์ก Redundant นะ บางครั้งเราเรียกระบบ Redundant ว่า Star แบบปลาดาว เรียกว่าเป็นระบบดาว...
คราวนี้มาดูความแตกต่างเน็ตเวิร์กทั้งสามรูปแบบ อันนี้ก็ใช้ทั้งสามรูปแบบแล้วนะ ถามว่ามันแตกต่างกันยังไง เอาเป็นว่า ดูง่ายๆ ในส่วน EtherSoundและ CobraNet จำนวนแชนเนลทั้งหมดจะได้ไม่เกิน 64 เท่านั้น นั่นหมายความว่าถ้าเราไปใช้ทั้งหมด 128 แชนเนล เราจะ ต้องทำเน็ตเวิร์กสองวง เพราะหนึ่งวงมันได้สูงสุดแค่ 64 เนื่องจากเน็ตเวิร์กของมันรันอยู่บน 128Mbps เท่านั้น เพราะค่าแบนวิดธ์มันไปไม่ถึง เพราะแม็กซิมั่มของมันจะรันได้แค่ 64 เท่านั้นเอง อันนี้เป็นข้อจำกัดของเน็ตเวิร์กเองนะ ไม่ใช่ข้อจำกัดว่าทำไมเสียบได้แค่นี้ เพราะเน็ตเวิร์กมันทำได้แค่นั้นเอง ในส่วนของ Latency ของ CobraNet แล้วแต่เนื้องานนะ อย่างต่ำที่สุดก็เนี่ยแหละ 5.33ms แต่ถามว่ายาวไปมั้ย ก็ยาวอยู่ แต่ถามว่ารับได้มั้ย ก็รับได้ งานไลฟ์ซาวด์ก็พอไปได้ไม่มีปัญหา เพราะเขาใช้กันมาตั้งนานแล้ว ยังใช้ได้อยู่ แต่ในส่วนของ Dante เนี่ยตัว Latency ค่อน ข้างต่ำประมาณ 1ms รันซ้อนกันได้ 4 ชั้นซ้อนกัน ตัวนี้จะมีระบบอีกตัวหนึ่งก็คือ เราไม่ต้องไปรันในระบบของ VLAN ถ้าเกิดว่าเราจะใช้การควบ คุมนะ ตัวนี้เราจะใช้ QoS เป็นตัวแยก เดี๋ยวตอนท้ายๆ เราจะพูดถึงเรื่อง QoS ด้วย ในส่วนการบันทึกเสียงนั้น อย่างใน EtherSound ต้องทำพอร์ตขึ้นมาอีกต่างหาก ไม่สามารถดึงจากสวิตช์โดยตรงมาได้
ในการบันทึกเสียงจะต้องใช้ซอฟต์แวร์อีกตัวนึงคล้ายๆ กัน คือเทคโนโลยีที่รันบน Ethernet หรือสาย LAN นี้มันจะคล้ายๆ กัน บางคนแยกไม่ออกนะ แต่ด้วยโครงสร้างของระบบแล้ว ตัว Dante ระบบมันใหม่กว่ากันเยอะ เดี๋ยวไปดูในช่วงหลังเบรคไปแล้ว ซึ่งจะอธิบายในหัวข้อเน็ตเวิร์ก EtherSound แต่ว่าโดยโครงสร้างทั่วไปจะคล้ายๆ กัน ซึ่งต้องรันบน ASIO Streamer ตัวนี้จะใช้ DVS จะเห็นว่าสองตัวนั้นแตกต่างกันชัดเจน แต่ว่าตัว EtherSound, CobraNet ไม่มีซอฟต์แวร์สำหรับใช้บนเครื่องแมคอินทอช แต่ของ Dante มี หากสรุปคร่าวๆ เราก็ดูข้อดีของมันก่อนว่ามีอะไรบ้าง คือมีแชนเนลเยอะมากกว่า 64 แชนเนล ถ้าในกรณีงานเราต้องใช้แชนเนลเยอะๆ ตัวนี้จะตอบโจทย์ได้มาก ถ้าใช้แค่สองแชนเนลคงไม่เกิดผลอะไร แต่ถ้าเราใช้เยอะๆ เน็ตเวิร์กใหญ่ตัวนี้ตอบโจทย์เราได้เลย ในขณะระบบ EtherSound, CobraNet มันจะรันอยู่แค่ 100Mbps เท่านั้นเอง แต่ถ้าสังเกตในท้องตลาดสวิตช์จะเริ่มหาไม่ได้แล้วที่รัน 100Mbps แต่ก่อนจะเป็น 10BaseT ก็คือ 10Mbps เดี๋ยวนี้มีคนใช้หรือเปล่าไม่รู้นะ เดี๋ยวผมจะให้ดูหน้าตาของ Dante Controller ว่ามันเป็นยังไง ตัวเครื่องผมต่อกับ CL5 ตัวที่ใช้ประกอบการบรรยายนี้ จะเป็นเวอร์ชั่น 3.02 แต่ปัจจุบันตัวที่ใช้กับ CL5 หรือ QL5 จะเป็นตัวเวอร์ชัน 3.10 รวมทั้งบอก Primary แอดเดรสด้วยนะ อันนี้คือไอพีแอดเดรสนะ (ดูรูปประกอบ) ตัวถัดมาจะบอกเราว่าเป็นสปีด 1Mbps ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามวิ่งมา 100Mbps เช็คสายได้เลยครับ ส่วน Secondary ผมไม่ได้ต่อ มันเลยกลายเป็น N/A ไป เราก็สามารถเช็คสเตตัสได้ว่าตอนนี้ตัวไหนเป็นแม่อยู่
แต่เวอร์ชันใหม่ของ CL/QL มันกดที่หน้าเครื่องได้เลย ซึ่งต้องเป็นเวอร์ชั่น 3 ขึ้นไป มันสามารถกดที่ตัวเองให้เป็น Primary ได้เลย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมปลด Primary ตัวปัจจุบันนี้ออก ตัวเน็ตเวิร์กก็จะหาประธานคนใหม่ ถ้าเครื่องนี้หลุดหรือดับไป เครื่องถัดไปก็จะหาตำแหน่งว่าจะให้เครื่องไหนเป็นประธาน ระบบจะเกิดการล่มยากมาก แต่ถ้าเป็นหัว BNC หรือหัว เวิร์ดคล็อค คือถ้าหัวเวิร์ดคล็อค มาสเตอร์ตาย ก็ตายทั้งโลกเลยนะ (ฮา) ใช่มั้ย มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ ระบบมันดูง่าย เราสามารถตรวจสอบได้ง่าย รวมถึงผมดับเบิลคลิกเข้าไป เราก็จะเห็นแบนด์วิดธ์ของเน็ตเวิร์ก จะเห็นตัวรับ ตัวส่ง สเตตัสเป็นยังไง มีการใช้ระบบเน็ตเวิร์กเท่าไหร่ มองเห็นด้วย ยิ่งใช้เยอะ ยิ่งไปเยอะ แล้วก็จะมีการระบุ MAC แอดเดรสของเครื่องหมายเลขอะไร รวมทั้งการเซตค่า Latency ดูสิสายมันสั้นมาก จริงๆ เน็ตเวิร์กตัวนี้สามารถกด Select ให้มันรันที่ 0.5ms ก็ได้ แต่ว่าผมตั้งไว้ในที่นี้เป็น 1ms มันต่ำกว่านั้นได้ 0.3ms หรือ 300-400µsec. จริงๆ มันไปได้เร็วกว่านั้นนะ แต่เราตั้งไว้แค่ 1ms เราสามารถตรวจ สอบได้ เราสามารถดูกระทั่งการคอนฟิก การเซตเน็ตเวิร์ก ตอนนี้เน็ตเวิร์กเองมันทำหน้าที่เป็นสวิตช์ในตัวมันเองนะ หมายความว่ามันจะส่งจากอีกพอร์ตหนึ่งไปหาอีกพอร์ตหนึ่งได้ เข้าอินและออกเอาต์พุตพ่วงออกไปเลย เชื่อมต่อกันได้ ซึ่งผมสามารถพ่วงบอร์ดที่หนึ่งกับบอร์ดที่สองไปออกที่เอาต์พุตเดียวกันได้ ไม่จำเป็นต้องแยกประกอบ คือฝากข้อมูลไปให้อีกเครื่อง ทั้งหมดเป็นเนื้อหาภาคแรกของ Dante เน็ตเวิร์ก เดี๋ยวผมจะให้ดูเรื่องถัดไป ในเรื่องของเน็ตเวิร์กเบสิค