
บริษัท ไลท์ แอนด์ ซาวด์ บิสิเนส ขออนุญาตคัดลอกเอกสารที่ให้ความรู้ เกี่ยวกับระบบ Dante เพื่อเผยแพร่สู่ลูกค้าของบริษัท ผ่านทางบทความ ในเว็บไซต์นี้ เพื่อให้เป็นความรู้ และความเข้าใจในระบบ ของผู้ที่ต้องการศึกษาต่อไป
ตอนแรกจะเก็บไว้หลังพัก กลัวจะเครียดกัน เพราะเรื่องนี้มันเครียดจริงๆ เท่าที่เราดูๆ มามันก็อาจจะโอเคสำหรับคนที่รู้มาแล้วมันก็ไม่ยากใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเพิ่งมาเริ่มใหม่มันจะเครียดเพราะมันยากจริงๆ ต่อไปผมจะพูดถึงเรื่องของเบสิคระบบเน็ตเวิร์ก แล้วก็จะลามไปถึงเรื่อง YDIF สำหรับคนที่นำไปใช้งานด้านการติดตั้ง ยามาฮ่าออกสินค้ามาตัวนึงชื่อว่า Yamaha Digital Interface หรือเรียกว่า YDIF ซึ่งตัวนี้จะทำ งานโดยใช้สาย LAN แต่แทนที่จะส่งเป็นฟอร์แมต Dante เหมือนคนอื่นก็จะวิ่งบน LAN ตัวนี้จะใช้เฉพาะเครื่องของยามาฮ่าเท่านั้น ถ้าเราใช้กับตัวเครื่องรุ่น MTX, MRX อะไรก็ตาม ถ้ามีพอร์ต YDIF ก็สามารถพ่วงไปหาแอมป์ที่มีพอร์ต YDIF เหมือนกันได้ ไม่ต้องต่อสายข้างนอก เดี๋ยวนี้ก็นิยมกัน ที่ใช้สัญญาณเป็นสายดิจิตอล วัตถุประสงค์หลักอันนี้ผมเพิ่มเติมนิดนึง ผมก็มานั่งคิดว่า ระบบอินเตอร์เน็ตเราเข้าใจกันดีหรือยัง ในนี้มีใครไม่รู้ อินเตอร์เน็ตคืออะไร มีบางคนไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดนะ แล้วทำไมต้องรู้เกี่ยวกับเลเยอร์ (Layer)
สำหรับคนที่ทำระบบเน็ตเวิร์ก เรื่องเลเยอร์นี้สำคัญนะ แล้วความแตกต่างระหว่างฮับสวิตช์กับเราท์เตอร์มันต่างกันยังไง ทีนี้ความแตก ต่างระหว่าง Dante กับ Dante หรือว่า AVB ก็ตาม คำว่า AVB มีใครเคยได้ยินมั้ย มันใช้งานบนบรอดคาสต์ใช่มั้ย มันมาจากคำว่า Audio Video Bridging เพราะตอนนี้เริ่มมาฮิตมากขึ้นแล้ว ตามที่ให้ดูตั้งแต่ช่วงต้น ตอนนี้ Dante มันลามปามไปถึงระบบที่ใช้งานร่วมกับ AVB ได้ด้วย คือเป็นเกทเวย์ เรียกได้ว่ามันเริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ก็สามารถที่จะครอบคลุมทุกธุรกิจการใช้งานในระบบเสียง หรือพวกดิจิตอลบรอดคาสติ้งทั้งหมด คำว่าอินเตอร์เน็ต เราเคยเห็นอุปกรณ์พวกนี้อยู่ใช่มั้ย เคยเห็นครับ หัวแบบนี้เขาเรียกว่าหัว BNC ยังเคยใช้อยู่มั้ย ยังมีอยู่มั้ย หรือสายแบบนี้พวกโคแอคเชียลที่ใช้กับอุปกรณ์บางตัวเนี่ย หรือว่าเดี๋ยวนี้เป็นหัวแปดขากันหมดแล้ว อินเตอร์เน็ตอ่านว่า อีเธอร์เน็ต (Ethernet) เป็นรูปแบบการเชื่อม ต่อโครงข่ายของระบบ ซึ่งเขาพัฒนาเพื่อใช้กับระบบคอมพิวเตอร์ กี่ปีแล้วครับ ก็ประมาณยุคปี 80 โน่นเลย ผ่านมาหลายสิบปีทีเดียว ซึ่งมาตร ฐานแรกที่ออกมาคือ 802.3 แต่ทุกวันนี้ที่เรารู้จักคือ 802.11 ใช่มั้ย พวกนั้น .11N, .11AC ทำนองนี้ อันนั้นพวก Wi-Fi แต่ว่าระบบตัวนี้เราก็รันคล้ายๆ กัน ตัวนี้ 802 ก็จะใช้รูปแบบของสาย LAN หรือว่าหัว Ethernet ในการเชื่อมต่อ ซึ่งตัวนี้มันจะไปข้องเกี่ยวกับตัว OSI ด้วย
ในส่วนของระบบ 10BaseT เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้ว น่าจะหายไปจากโลกนี้ สายพวกนี้เราเรียกว่า Twisted pair หรือบางครั้งเราเรียกว่า UTP หรือ FTP… ถัดไปเรื่องเลเยอร์โมเดล คือรูปแบบของการแบ่งชั้นวรรณะ บางครั้งเราเรียกระบบนี้ว่า Open System Interconnection หรือเรียกสั้นๆว่า OSI อันนี้เป็นพื้นฐานของระบบเน็ตเวิร์กนะ ถ้าพูดในวงการเน็ตเวิร์กในวงการเขาจะเข้าใจเหมือนกัน ฟังก์ชันบนเลเยอร์เนี่ยมันก็จะมีรูปแบบ จะเป็นรูปแบบเอาเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆ คือเรียงตัวกันเป็นชั้นๆ ขั้นๆ เวลาอธิบายตรงนี้แล้วเข้าใจยากนะ ควรจะดูรูปประกอบ จะเห็นว่ามันมี Media Layer, Host Layer เป็น Bit เป็น frame เป็น Segment เป็น Data ระบบพวกนั้นเรียกว่าเป็นโฮสเลเยอร์ แต่วันนี้เราพูดถึง 3 เลเยอร์พอ เพราะเราใช้แค่นี้ก็พอแล้วครับ แค่นี้ก็ถือว่ามหาศาลอลังการแล้วครับ ฉะนั้นเลเยอร์ของเสียงจะรันได้แค่ระดับ 1-2-3 เท่านั้น ทำไมเราต้องใช้เลเยอร์ 1-2-3 ปกติ Dante มันสามารถไปโผล่ได้ทั้ง 7 เลเยอร์เลย ถ้าเราเชื่อมต่อเข้าไปปุ๊บมันจะมองเห็นทั้ง 7 เลเยอร์เลย แต่ว่าเราจะรันกันเฉพาะช่วง 1 ถึง 3 เท่านั้น เคยได้ยินมั้ยที่เขาเขียนเอาไว้ว่า L1, L2, L3... เออ... คุ้นๆ หูนะ “L” นี่คืออะไร ก็คือเลเยอร์ไง ฉะนั้นตัวนี้มันสามารถควบคุมการติดตั้งได้ด้วย เราสามารถกำหนดขอบเขตให้วิ่งอยู่ในเลเยอร์ไหนก็ได้ ถ้าจะทำแบบนั้นได้ต้องทำบน managed ตัวสวิตช์เท่านั้น...
ทีนี้ในการส่งข้อมูล พวกดาต้าจะเป็นยังไง อันนี้บน OSI โมเดล บนเครื่องส่ง แล้วจะมี OSI บนเครื่องรับ ตรงนี้จะบอกว่าในส่วนของเครื่องส่ง-รับ จะเชื่อมต่อในรูปแบบที่เรียกว่าฟิสิคัลโพรโตคอล (Physical Protocol) คำว่าฟิสิคัลคือทางกายภาพ แล้วกายภาพคืออะไร ก็การจิ้มต่อ จิ้มไปจิ้มมา ตรงนี้เรียกว่ากายภาพ คือเราสัมผัสได้จับต้องได้ ตอนนี้เมื่อส่งผ่านไปแล้วมันจะเป็นลักษณะของดาต้าลิงค์ (Data Link) แล้วนะ พอมันไปอยู่ในรูปของดาต้าลิงค์มันเป็นข้อมูลไปแล้ว เราจับต้องไม่ได้นะ รวมถึงเมื่อมันรับส่งในรูปของเน็ตเวิร์กโฮสเราท์เตอร์ (Network Host Router) ตรงนี้เรามองไม่เห็นละ สิ่งที่เราจับต้องได้ต้องบนฟิสิคัลเท่านั้น ซึ่งรูปแบบของดาต้ามันจะวิ่งผ่าน จากเลเยอร์ 3 เป็นเลเยอร์ 2 เป็นเลเยอร์ 1 เราแปลงข้อมูลจากแพ็กเกจ (Packet) เป็นเฟรม (frame) จากเฟรมเป็นบิต (bit) แล้วตัวบิตส่งไปในสาย เพราะมันมีแค่ 010101 เท่านั้นใช่มั้ย ซึ่งตัวบิตก็คือเลขฐานสองเป็น 0101010 วิ่งไปปี๊ดเลย แล้วจะมีตัวถอดรหัสกลับมาอีกทีนึง เป็นข้อมูล นี่คือรูปแบบการส่ง เพราะฉะนั้น ในสายหนึ่งเส้นที่เราเห็นเนี่ย ข้างในจะมีฝอยอยู่ประมาณ 8 เส้น ถักเกลียวกันอยู่ เราเรียกสายแบบนี้ว่าทวิตด์แพร์ (twisted pair) เพราะมันพันเกลียวกันทีละคู่
ในส่วนของฟิสิคัลเลเยอร์ นี่คือสิ่งที่เราจับต้องได้ใช่ไหม เราเห็นสายที่เราใช้ทุกวันนี้มันก็เป็นขยุ้มๆ แบบนี้ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เราจับต้องได้อยู่ ในส่วนของสายที่เป็นฟิสิคัลเลเยอร์ที่เราใช้อยู่ ก็จะเป็นประเภทพวกสายทองแดง บางทีเราก็เรียกว่าเป็นสายแบบ CAT ซึ่งมาจากคำว่า Category ส่วนอีกแบบนึงที่รันบนสายอีกประเภทเรียกว่าไฟเบอร์ออฟติก (fiber optic) ตัวไฟเบอร์ออฟติกมันจะรันในลักษณะโหมด จะมีสองแบบคือซิงเกิลโหมดกับมัลติโหมด สายไม่เหมือนกันนะ มันต่างกันตรงที่ขนาดและความสั้นยาวของคลื่น บางทีเขาเรียกว่าไมโครเมตร ส่วนอีกรูปแบบนึง ที่รับส่งเป็นคลื่นความถี่วิทยุ เช่นอะไร Wi-Fi ไง ตัว Wi-Fi ส่งเป็นคลื่นวิทยุใช่มั้ย มันไม่ต้องใช้สายเชื่อมต่อ ดังนั้นจะอยู่ในรูปของคลื่น วิทยุ ที่เขาบอกว่าอะไรนะ CAT เทเลคอมน่ะ ที่เขาส่งถึงบ้านน่ะ ตรงนั้นส่งผ่านไฟเบอร์ออฟติก เสร็จแล้วตัวไฟเบอร์ออฟติกเราจะนำมาใช้กับการบันทึกข้อมูลได้ไหม ไม่ได้มันต้องมีการแปลงข้อมูลกลับมาให้อยู่ในรูปสายทองแดงเสียก่อน หรือเป็น Wi-Fi นี่คือรูปแบบขั้นตอนการใช้งาน ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ก็ต้องเป็นสายแน่นอน ถ้าเชื่อมต่อกันก็ต้องลิมิเตอร์ฮับ หรือว่าถ้าเป็นไฟเบอร์ออฟติกก็ต้องมีโมดูล เป็นซิงเกิลโหมด หรือจะเป็นมัลติโหมด
หน้าตาของไฟเบอร์โมดูลจะเป็นดังรูป นี่คือไฟเบอร์โมดูลนะ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ จะเป็นฮับสวิตช์ทั่วไป เวลาเรามีปัญหากับระบบพวกนี้ สิ่งสำคัญเราต้องดูนะ ดูไฟครับ อันนี้พูดง่ายๆ เลยครับ ดูไฟ อันนี้เป็นระบบพื้นฐานนะ ไม่ต้องเรียนรู้ เสียบเข้าไปไฟไม่ติดแสดงว่าสายมันเสียใช่มั้ย หรือไม่ก็ไม่ได้เปิดเครื่องมีอยู่สองอย่าง เสียบเข้าไปแล้วไฟไม่ติดแสดงว่าสายมีปัญหา เดี๋ยวเราจะมีสายให้ดู เดี๋ยวลองเสียบดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ช่วงนี้เป็นช่วงทดสอบลองของ อันนี้เราเห็นไฟมันแว๊บๆ มันลิงค์อยู่แสดงว่า สัญญาณข้อมูลเริ่มวิ่งแล้ว แต่บางเครื่องมันจะเขียนว่า 1G ถ้าหากมันเขียนว่า 1G เสียบสายแล้วไฟไม่ติดแสดงว่าสายใช้ไม่ได้ เพราะเรารันที่ 1 กิกะบิตใช่มั้ย ถ้าใช้ไม่ถึง 1 กิกะบิตได้มั้ย... ไม่ได้... แต่แชน เนลน้อยๆ ได้มั้ย... ได้... เพราะมันวิ่งข้อมูลสองแชนเนลก็โอเค แต่ถ้าวิ่งเป็นร้อยแชนเนลไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลักการง่ายๆ ให้เช็คดูไฟ ตรวจสอบสายที่เสียบ และมีคำแนะนำอีกอย่างในการใช้งานสายพวกนี้ มันเป็นขั้วทองแดงใช่มั้ย บางทีมันชุบทองด้วยนะ ทองเค อะไรทำนองนี้ พวกนี้มันติดสนิม บางทีขี้ฝุ่นมาอยู่ บางทีมีอะไรต่ออะไรมาติดอยู่นะ ต้องทำความสะอาดก่อน บางทีอาจจะใช้ได้ ถ้าใช้ไม่ได้ก็ต้องตัดทิ้งแล้วทำใหม่ แต่ว่าบางครั้งการวางระบบของเราเองเนี่ย บางทีจะเกิดระบบนึงที่เรียกว่ากราวด์ชนกัน อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกันเยอะๆ มันต้องเกิดการชนกันแน่นอน เพราะอะไรมันถึงชนกัน ใครบอกนะ บางทีต่อสวิตช์หลายๆ ตัว ในออฟฟิศบางทีก็ยังเป็นก็คือเน็ตเวิร์กชนกัน