Free Google Submission Free Social Media SubmissionFree Website SubmissionFree Url Submission การใช้งาน Compressor
dot dot
dot
ค้นหาสินค้า


  [Help]
dot
ขอใบเสนอราคา
dot
สมัครสมาชิก

dot
ANALOG MIXER
ดิจิตอล MIX DIGITAL
เพาเวอร์มิกซ์ POWER MIXER
เพาเวอร์แอมป์ Power Amp
เพาเวอร์แอมป์ PowerAmp Line70-100v
ลำโพงมีเพาเวอร์
ลำโพงฝังฝ้า,Ceiling
 ลำโพงกลางแจ้งPA
ลำโพงคอลั่ม
ลำโพงติดผนัง
ไมค์โครโฟนไร้สาย ไมค์ลอย
ไมค์สาย
ไมค์ห้องประชุม
ลำโพงฮอร์น  Horn Speaker
โทรโข่ง  Megaphone
เครื่องเสียงพกพา Portable
เครื่องเล่น CD-DVD
อุปกรณ์โครงสร้าง ทรัชอลูมิเนียม
ปลั๊กไฟใส่ตู้ AC OUT-LET
ชุดทัวร์ไกด์
เครื่องฉาย Projector
จอโปรเจคเตอร์
เครื่องฉาย3มิติ Visualizer
Accessories อุปกรณ์ระบบเสียง
ระบบไฟ LIGHTING
CCTV SYSTEM ระบบวงจรปิด
stage เวที
สินค้าลดราคา


line
ลิ้งเว็ปบริษัท
ตรวจสอบการส่งสินค้า
ระหัส DBD
เว็ปให้เช่าระบบแสงเสียง


การใช้งาน Compressor

               DOWNSLODE

 การใช้งาน Compressor

 

                                                                               Composer Pro XL

Compressor

                     เป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพ มีอะไรซ่อนอยู่ในตัว และ เทคนิคการใช้มากมาย มีความจำเป็นสำหรับการ

ใช้ในสตูดิโอ recording อีกทั้งในงานแสดงสด ก็ยังมีการนำไปใช้งาน ลองทำความเข้าใจพื้นฐานของ compressor กันก่อน

ที่จะเจาะลึกรายละเอียดภายใน

Compressor   เป็นอุปกรณ์ที่ลดค่า  dynamic  ของเสียง (ระดับเสียงต่ำสุด – สูงสุด) มักนำไปใช้ในการควบคุม

เสียงร้อง หรือเครื่องดนตรี ที่มีการเปลี่ยนระดับเสียงอย่างรวดเร็ว  การลดค่า  dynamic  ทำให้ระดับเสียงสูงสุดถูกทอนลงมา

ทำให้เสียงที่เบากว่าสามารถปรับระดับขึ้นไปได้อีก โดยไม่เกิดการ clip ผลก็คือ เสียงโดยรวมดังขึ้น ให้ความคงที่ของระดับเสียง

มากขึ้น

Limiter   เป็นอุปกรณ์ที่จำกัดระดับเสียงไม่ให้เกิดไปมากกว่าที่ตั้งไว้ ตัวอย่างเช่น วงจรป้องกันระดับเสียงเกินในระบบ PA เพื่อไม่ให้

เกิดความเสียหายต่อลำโพง Limiter ป้องการไม่ให้สัญญาณถูก clip ใช้กันในทั้งระบบ Digital และ Analog

Compressor  ที่ดีควรจะต้อง ทำหน้าที่ขยายเสียง โดยมีอัตราส่วน input / output คงที่ ดังนั้นหากตั้ง ratio ไว้ 2:1

ก็หมายความว่า หากระดับสัญญาณขาเข้าเกินจากที่ตั้งไว้ 2 dB สัญญาณขาออกจะเพิ่มเพียง 1 dB หรือ เสียงจะเพิ่มเป็นครึ่งหนึ่ง

ของปริมาณระดับเสียงขาเข้าที่เกินมาเท่านั้น อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น ตั้ง ratio ไว้ 4:1 ก็จะทำให้สัญญาณทีเพิ่มขึ้นในทุก ๆ  4 dB

สัญญาณขาออกจะเพิ่มเพียง 1 dB เท่านั้น อัตราส่วนนี้เรียกว่า compression ratio ในกรณีที่ตั้งไว้สูงมาก ก็จะทำให้ค่า dynamic ของเสียงยิ่งต่ำลงไป

กรณีตั้งไว้ 20:1 หรือ infinite ก็จะทำให้ compressor กลายเป็น limiter ไปในทันที

                      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    

การปรับค่า Compressor

ภาพแสดงกราฟการปรับตั้งค่า Compressor

การปรับค่าของ Compressor

Threshold

เป็นค่าของระดับเสียง (dB) ที่ตั้งไว้ เพื่อให้ compressor เริ่มทำงาน เมื่อระดับสัญญาณเกินค่า threshold ที่ตั้งไว้ ก็จะเริ่มเกิดการ

compress ยิ่งค่า threshold ตั้งไว้ต่ำมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้เสียงถูกบีบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

Ratio

หาก plot เป็นกราฟ, Ratio จะเป็นตัวกำหนดความชันของกราฟ ซึ่งจะเป็นตัวบอกอัตราส่วนระหว่างสัญญาขาออก ต่อ สัญญาณขาเข้า อย่างเช่นการ

ตั้งไว้ 2:1 หากสัญญาณขาเข้าแรงเกินค่า threshold ที่ได้ตั้งไว้ทุก ๆ 2 dB สัญญาณขาออกจะเพิ่มขึ้นเพียง 1 dB เท่านั้น และ หากยิ่งปรับค่า Ratio

เพิ่มมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็จะทำให้ Compressor ทำหน้าที่คล้ายกับ Limiter มากยิ่งขึ้นเท่านั้น เช่น หากตั้ง threshold

ไว้ที่ 0 และตั้ง ratio เป็น infinity ก็จะเป็นการกำหนดให้สัญญาณขาออกหยุดอยู่ที่ 2 dB เท่านั้น ไม่ว่าสัญญาณขาเข้าจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม

Attack

เป็นตัวกำหนดให้ compressor เริ่มทำงานช้าเร็วแค่ไหน เมื่อระดับเสียงเกินจุด threshold หากตั้งไว้ต่ำ ก็จะทำให้เสียงช่วงเวลาหนึ่งที่เกินค่า threshold

ผ่านไปได้โดยไม่มีการบีบอัด มักใช้ในการรักษา transient ของเสียง ไม่ให้ถูกบีบอัด ในขณะที่ตั้งค่า attach ไว้ต่ำ ก็จะทำให้

compressor ทำงานแทบจะในทันทีที่ ระดับเสียงเกินค่า threshold เสียงที่ออกมาจะนุ่มราบเรียบ เนื่องจากไม่มี transient

Release

เป็นตัวกำหนดให้ compressor หยุดทำงาน เมื่อสัญญาณต่ำกว่าระดับ threshold ที่กำหนดไว้ การตั้งค่า release ต่ำมาก ๆ จะทำให้เกิดเสียงในลักษณะ

choppy, jittery โดยเฉพาะเครื่องดนตรีที่ผลิตเสียงความถี่ต่ำ เช่น กีตาร์เบส หากตั้งให้นานขึ้นอีกหน่อยก็จะทำให้ไม่เกิดอาการดังกล่าว การตั้งค่า

release นานมาก ๆ จะทำให้เกิดการบีบอัดเสียงในส่วนที่ไม่จำเป็น ทำให้เกิดการ “squashing” เสียง

  

 

Knee in Compressor

ภาพแสดงอธิบายถึง Hard Knee (สีแดง)กับ Sofe Knee (สีเขียว)

Hard Knee และ Soft Knee

ใช้เรียกลักษณะ curve ณ. จุด threshold, Knee จะหมายถืงอัตราเร็วของการเริ่มบีบอัด หากตั้งไว้เป็น Hard Knee การบีบอัดจะเริ่มทันที เมื่อสัญญาณเกิดระดับ threshold หากตั้งไว้เป็น Soft Knee การบีบอัดจะเริ่มทีละน้อย ซึ่งบางคนมักจะรู้สึกดีกว่า Knee แปลตรงๆตามตัวก็หมายถึง “หัวเข่า” ซึ่งก็คือช่วงงอ (ดูตามรูปข้างบน) อธิบายตามภาพ Hard Knee คือการงอแบบหักมุม ( ตามเส้นประสีแดงในรูป ) การปรับแบบนี้เหมาะกับเพลงเร็วๆ ส่วน Soft Knee คือการงอแบบโค้ง ( ตามเส้นสีเขียวในรูป ) การปรับแบบนี้ให้ความนุ่มนวลเหมาะกับเพลงช้า

Compressor Side Chain

เป็น insert jack ที่พบอยู่บน compressor เพื่อส่งสัญญาณเข้าขัดจังหวะสัญญาณที่ compressor ใช้กำหนดการควบคุมระดับการบีบอัด หากไม่มีสัญญาณปล่อยเข้าไปใน insert jack นี้ สัญญาณก็จะผ่านเข้า compressor และ ทำงานตามปกติ แต่เมื่อไหร่ที่มีการส่งสัญญาณนี้เข้าไป ก็จะทำให้ทางเดินเสียงที่ผ่าน compressor ถูกตัดขาด การทำงานของ side chain จะคล้ายกันกับ “effect send” บน console โดยผ่านสาย TRS ตัวอย่างเช่น สัญญาณที่ส่งเข้าไป อาจถูกส่งออกมาEQก่อนเพื่อต้องการลดเสียง “ส” หรือ sibilance หรือ de-essing แล้วจึงส่งกลับเข้า compressor สำหรับลักษณะการทำงานกับเสียงร้อง คือ จะใช้ EQ เพื่อเพิ่มระดับเสียงในความถี่ที่ไม่ต้องการขึ้น (เช่น ประมาณ 4 KHz) ซึ่งจะทำให้ระดับเสียง ณ ความถี่นั้นเกินค่า Threshold ทำให้ compressor ทำงาน ดังนั้นเสียง ณ ความถี่ที่กำหนดจะถูกลดระดับเสียงลงมา และ ปล่อยให้ความถี่อื่น ๆ ผ่านไป ดังนั้นจึงเป็นการรักษาระดับ dynamic ไว้ และ ลดเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการออกไป

ปริมาณของ compressor

ในวงดนตรี Rock อาจมีการบีบอัดค่อนข้างสูง เช่น 10 dB ก็ยังดูเหมือนว่าไม่มาก ในทางปฏิบัติ คงไม่มีกฎตายตัวว่าจะต้องกำหนดว่าควรใช้มากน้อยแค่ไหน จุดนี้เองที่ทำให้การใช้ compressor เป็นงานที่สร้างสรรค์สำหรับ producer ตัวอย่างเช่น เราเคยได้ถกปัญหาเรื่องที่เกิดจากการใช้ release time ที่น้อยมาก แต่หากใช้ release time น้อย ควบคู่ไปกับ ค่า attack ที่มาก (slow attack) ก็จะทำให้เกิดผลดี คือ ยอมให้ transient ของกลองผ่านไปได้ และ เกิด pumping effect ในตอนท้าย

 

 

Compressor in Pro Tools LE

การใช้ Compressor

หลักการใช้ Compressor มีมากมายแทบจะเรียนกันไม่รู้จบ Compressor / Limiter เป็นอุปกรณ์ที่ใชัในการควบคุมระดับเสียงโดยการบีบอัดไม่ให้สัญญาณออกไปมีความแรงมากเกินไป รวมทั้งทำหน้าที่อื่นๆด้วย ก่อนจะศึกษาส่วนต่างๆของ Compressor เราต้องรู้ส่วนต่างๆของ Waveform ก่อน เพราะตำแหน่งส่วนต่างๆของ Waveform นั้นมีความเกี่ยวข้องกับปุ่มควบคุมต่างๆใน Compressor เพื่อที่จะได้เข้าใจให้ถ่องแท้ ดูรูปข้างล่าง

 

 

 

                                                                         ภาพแสดงอธิบายส่วนต่างๆของ Waveform

                      Attack คือช่วงที่ระดับความดังเริ่มต้นจากตำแหน่งสมดุลหรือตำแหน่งเริ่มต้น อาจเรียกอีกอย่างว่าช่วงเร่งความดังเข้าหาจุดสูงสุด

                      Decay คือช่วงลดระดับความดังเข้าสู่ภาวะคงที่

                      Sustain คือช่วงที่รักษาระดับความดังในเวลาหนึ่งอย่างสม่ำเสมอ

                      Release คือช่วงเวลาที่ผ่อนระดับเสียงให้เบาลงจนเป็นเสียงเงียบไปในที่สุด เพื่อให้เข้าใจง่ายๆให้ดูรูปข้างล่างนี้

ภาพแสดงอธิบายส่วนต่างๆของ Waveform

Compressor มีหลายประเภท ทั้งแบบเดี่ยว และแบบ Multiband

 

                                                                                              Compressor แบบ Side Chain

Compressor แบบ Multiband

Compressor แบบ Multiband แยกการทำงานทั้ง 3 ย่านคามถี่ คือ Low , Mid , High

 

iZotope_Multiband Compressor

iZotope เป็น Multiband Compreesor ที่น่าใจอีกรุ่นหนึ่งความสามารถหลากหลายรวมคุณสมบัตของ EQ แบบParameter , Revers , Loudness Maximizer , Exciter และ Stereo Image ( ตัวนี้สามารถจบงานมาสเตอร์ริ่งได้เลย )

การทำหน้าที่ของ Compressor ประกอบด้วยการทำงานหลัก 3 ส่วนดังนี้

1.EXPANDER / GATE

ทำหน้าที่ขยายและเปิดประตู Gate ให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องตามความต้องการของผู้ใช้ ว่าจะให้สัญญาณที่มีระดับความแรงมากน้อยเท่าไร ที่จะให้เครื่องเริ่มทำงานโดยมีปุ่มปรับต่างๆในส่วนนี้คือ

1.1ปุ่ม THRESHOLD

เป็นปุ่มปรับเพื่อให้เครื่องเริ่มทำงานและหยุดทำงาน หน่วยที่ปรับมีค่าเป็นเดซิเบล dB เช่นเราปรับตั้งค่าไว้ที่ -45dB หมายความว่าสัญญาณเสียงที่มีระดับต่ำกว่า -45dB เครื่องจะไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้ไม่มีสัญญาณใดๆผ่านเครื่องออกไปได้ และเครื่องจะเริ่มทำงานเมื่อระดับสัญญาณสูงกว่า -45dB ค่าที่เราตั้งให้เครื่องทำงานนี้เราเรียกว่า “ค่าเทรชโฮลด์” อย่างไรก็ตามถ้าเราปรับตำแหน่งไว้ต่ำสุดหรือ “OFF” หมายความว่าสัญญาณที่มีระดับสูงแค่ไหนก็ตาม สามารถผ่านเข้าไปในเครื่องได้ นั่นคือสัญญาณสามารถผ่านเข้าไปได้ทั้งหมดตลอดเวลานั่นเอง การจะตั้งค่าเทรชโฮลด์เป็นเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เครื่องนี้ควบคุมเสียงอะไร เช่น ถ้าต้องการควบคุมเสียงสำหรับไมค์นักร้อง หรือควบคุมเสียงทั้งระบบ ให้ตั้งค่านี้ที่จุดต่ำกว่า -45 dB เพราะต้องให้ระดับเสียงเบาๆออกไปได้ แต่ถ้าควบคุมเสียงของไมค์กลองกระเดื่อง กลองสแนร์ หรือไฮแฮต ก็ให้ตั้งค่าที่สูงกว่า -45 dB ซึ่งมีค่าไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความดังของกลองหรือเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ

1.2ปุ่ม RELEASE

เป็นปุ่มสำหรับหน่วงเวลา คือหลังจากที่ประตู(GATE) เปิดให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องแล้ว ถ้าไม่มีสัญญาณใดๆเข้ามาอีกหรือสัญญาณมีค่าต่ำกว่าค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้ เกทก็จะปิด ส่วนอื่นๆของเครื่องก็ไม่ทำงาน ระยะเวลาที่ใช้ในการปิดเกทอีกครั้งหลังจากไม่มีสัญญาณเข้ามาแล้วนั้นเราเรียกระยะเวลานี้ว่า “Release Time” ปุ่มที่ทำหน้าที่ปรับระยะเวลานี้คือปุ่ม RELEASE ค่าที่บอกไว้ที่เครื่องคือ Fast หมายความว่าเกทจะปิดอย่างรวดเร็วหลังจากหมดสัญญาณ และ Slow หมายความว่า เกทจะหน่วงเวลาไว้ระยะหนึ่งจึงค่อยปิด ระยะเวลาเร็วหรือช้าแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะปรับตั้งค่าไว้ ค่า Release Time ของเกทนี้จะตั้งเป็นเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับเสียงที่เราใช้งาน เช่นไมค์สำหรับเสียงพูดหรือเสียงนักร้อง ให้ปรับไว้ที่ประมาณบ่ายสองโมง Slow เพราะเสียงคนเราจะมีปลายหางเสียงเช่น เสียงตัว สิ. ,สี่.. ,ซิ… ,ซี…เอส….เฮช….ทู…ฯลฯ.. เป็นต้น ปลายหางเสียงเหล่านี้จะได้ไม่ขาดหายไปส่วนการปรับเสียงจากเครื่องดนตรีเช่นเสียงกลองกระเดื่อง ถ้าเราไม่ต้องการเสียงกระพือหลังจากที่เราที่เหยียบลงไปที่หน้ากลองลูกแรก ก็ให้เวลาในการปิดเกทเร็วขึ้น Fast หรือเสียงไฮแฮตถ้าเราไม่ต้องการให้มีปลายหางเสียงมากเกินไป ให้เสียงซิบๆๆ..ซี่ๆๆ..ซิบๆๆ…ดีขึ้นก็ให้ปิดเกทให้เร็วขึ้นเพื่อปลายหางเสียงที่เบาๆจะได้ถูกตัดออกไป **อย่างไรก็ตามปุ่มRELEASE ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE นี้ ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี และบางรุ่นทำเป็นสวิทช์กดให้เลือก**

1.3ปุ่ม RATIO

เป็นปุ่มทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงเป็นอัตราส่วนของ dB เมื่อเทียบค่ากับ 1 เช่น 1:1หมายความว่าสัญญาณจะไม่ถูกลดระดับเลย , 2:1หมายความว่าสัญญาณที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าไหร่ก็ตามจะถูกทำให้ลดลงสองเท่า **อย่างไรก็ตามปุ่ม RATIO นี้ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี**

2.COMPRESSOR

ทำหน้าที่กดระดับสัญญาณให้ลดลงในอัตราส่วนตามค่าที่เราได้ปรับตั้งไว้ หน้าที่การทำงานของปุ่มปรับต่างๆในส่วนของภาคคอมเพรสเซอร์นี้มีดังนี

2.1ปุ่ม THRESHOLD

เป็นปุ่มสำหรับตั้งค่าจุดเริ่มการกดสัญญาณ(จุดเทรชโฮลด์) เช่นเราตั้งค่าไว้ที่ 0 dB สัญญาณจะเริ่มลดลงที่ 0 dB และถ้าปรับตั้งไว้ที่ -10 dB ก็หมายความว่าสัญญาณเสียงจะเริ่มลดลงที่จุด -10 dB (ค่าติดลบมากเสียงจะลดลงมาก) การลดลงของสัญญาณเสียงที่จุดเทรชโฮลด์นี้ ถ้าเป็นการลดลงอย่างรวดเร็วทันทีทันใด เราเรียกว่า ฮาร์ดนี “Hard-Knee” และถ้าให้เสียงที่ถูกกด “Compress” ค่อยๆลดลงเพื่อให้เสียงฟังดูนุ่มขึ้นเราเรียกว่า ซอฟต์นี “Soft-Knee” ซึ่งมีปุ่มให้กดเลือกใช้งานได้ แต่ปุ่มนี้จะมีชื่อเรียกทางการค้าที่แตกต่างกันไป เช่น ยี่ห้อ dbx เรียกปุ่มนี้ว่า Over Easy ยี่ห้อ Behringer เรียกปุ่มนี้ว่า Interactive Knee การตั้งค่า THRESHOLD เสียงดนตรี เสียงพูด และเสียงร้องเพลงทั่วๆไป จะตั้งค่าไว้ที่ 0 dB เสียงร้องเพลงประเภท เฮฟวี่ ร็อค ฮิปพอฟ หรือเพลงวัยรุ่นประเภท แหกปากตะโกนร้อง ก็ตั้งไว้ที่ -10 dB ถึง -20 dB ให้ปรับหมุนฟังดูค่าที่เหมาะสมไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป

2.2ปุ่ม RATIO

เป็นปุ่มสำหรับทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงมีค่าเป็นอัตราส่วนจำนวนเท่าต่อ 1 ซึ่งจะทำงานสัมพันธ์กับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้คือ

                      เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 1:1 สัญญาณด้านออกจะไม่ถูกกดลงเล

                      เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 2:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 2เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลงเหลือ +10dB

                      เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 4:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 4เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลงเหลือ +5dB

                      Infinite (หมุนตามเข็มนาฬิกาสุด) สัญญาณด้านออกจะถูกกดให้ลดลงเท่ากับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้ ( Infinite สัญลักษรคือเครื่องหมาย ” ? ” )

                      การตั้งค่า RATIO เสียงพูด เสียงร้องเพลงทุกแบบ เสียงเครื่องดนตรีทั่วไป ปรับตั้งไว้ที่ 2:1 ถ้าตั้งให้ลดมากไปจะทำให้เหมือนเสียงเกิดอาการวูบวาบกระโดดไม่คงที่

2.3ปุ่ม ATTACT

เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาของการเริ่มต้นกดสัญญาณ “compress” จะช่วยทำให้เสียงมีความหนักแน่นดีขึ้น มีหน่วยเวลาเป็น มิลลิวินาที “mSEC” เสียงพูด เสียงเพลงดนตรีทั่วไป ให้ตั้งค่าไว้ที่ประมาณ 40-50 mSEC เพลงคลาสสิค หรือเพลงที่มีความฉับไวของดนตรี ให้ตั้งไว้ที่ประมาณ 25-30 mSEC

2.4ปุ่ม RELEASE

เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาช่วงหยุดการกดสัญญาณ จะทำให้น้ำเสียงนุ่มน่าฟังขึ้น มีหน่วยเวลาเป็นวินาที “SEC” เสียงพูด เสียงดนตรีทั่วไปให้ตั้งไว้ที่ 1.5-2 SEC

2.5ปุ่ม OUTPUT GAIN

เป็นปุ่มปรับลดหรือเพิ่มระดับความแรงของสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีค่าลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ โดยมีค่าปรับได้ตั้งแต่ -20dB ถึง +20dB ในการใช้งานปกติให้ปรับค่าไว้ที่ 0 dB

3.LIMITER

ลิมิตเตอร์ทำหน้าที่รักษาระดับสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีความแรงสูงสุดได้ไม่เกินค่าที่ตั้งไว้ เช่นตั้งไว้ที่ 0dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุดไม่เกิน 0dB หรือตั้งไว้ที่ +5dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุดไม่เกิน +5dB เป็นต้น

การต่อใช้งานเครื่อง COMPRESSOR

การต่อใช้งานเครื่องคอมเพรสเซอร์สามารถต่อใช้งาน ตามลักษณะประเภทของงานและตามความต้องการของผู้ใช้ได้ 4 แบบ ดังนี้

1. การต่อแบบ Channel Insert

การต่อแบบนี้เป็นการต่อใช้งานที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้เราสามารถปรับแต่งเสียงของคอมเพรสเซอร์ แต่ละแชลแนลได้อย่างอิสระ ทั้งเสียงจากไมโครโฟนสำหรับนักร้อง และเสียงจากเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่แยกจากกัน

2. การต่อแบบ Group Insert

การต่อแบบนี้จะใช้คอมเพรสเซอร์ จำนวน 2 เครื่อง 4Ch ในกรณีที่มิกเซอร์มี 4 กรุ๊ป คือ Group 1-2-3-4 ก็ให้เราจัดกรุ๊ป 1-2 เป็น ไมค์เสียงร้องทั้งหมด และกรุ๊ป 3-4 เป็นเสียงดนตรีทั้งหมด

3. การต่อแบบ Mix Insert

การต่อแบบนี้ใช้คอมเพรสเซอร์ 1เครื่อง 2Ch ต่อที่ตำแหน่ง Mix Insert ของเครื่องมิกเซอร์ เป็นการต่อใช้งานเพื่อควบคุมเสียงทั้งหมดที่ถูกต่อเข้าที่มิกซ์ การปรับแต่งเสียงก็จะปรับโดยรวมๆกลางๆ

4. การต่อแบบ MIXER to COMPRESSOR

การต่อแบบนี้เป็นการต่อแบบที่ง่าย สะดวก และประหยัดที่สุด เพราะเป็นการต่อที่นำเอาสัญญาณเอาท์พุทจากมิกเซอร์มาเข้าอินพุทของเครื่องคอมเพรสเซอร์ และออกจากคอมเพรสเซอร์ไปเข้าเครื่องอีควอไลเซอร์ การปรับแต่งเสียงก็เป็นการปรับแบบรวมๆกลางๆ เพราะทุกเสียงผ่านคอมเพรสเซอร์ทั้งหมด

Nomad Multiband Compressor

นี่ก็ Multiband อีกรุ่นจาก Nomad รุ่นนี้มี 4 ย่านความถี่ ให้เสียงแบบหลอด (Tube) เสียงอุ่นได้กลิ่นไอของ Analog เลยทีเดียว

ข้อควรระวังการใช้ Compressor ที่มากเกินไปจะทำให้เสียงฟังดูขาดชีวิตชีวาไม่เป็นธรรมชาติ เพราะว่าเสียงมันจะดังแบบเสมอๆ กันหมด ดังนั้นเวลาปรับต้องคอยหมั่นฟังเทียบกับตอนที่ยังไม่ compress ครับ โดยกดปุ่ม Bypass ฟังเทียบสลับกันไปนะครับ

บทสรุปเกี่ยวกับCompressor


Compressor เป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้หลากหลาย Sound Engineer ทุกคนขาดไม่ได้สำหรับเครื่องมือชิ้นนี้ ถ้าเปรียบบทเพลงเป็นอาหาร Compressor ก็เปรียบเหมือนน้ำจิ้มที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร ส่วนน้ำจิ้มนั้นจะให้รสชาติมันออกมายังไง ชอบแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้ปรุง เพราะการปรับ Compressor ไม่มีกฏตายตัว แล้วแต่สไตล์เพลง การวางตำแหน่งของ Compressor ก็เช่นกัน จะวางใน Input , AUX , หรือจะเป็น Output การปรับการใช้งานก็แตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง Sound Engineer บางคนวางที่ Output เพื่อปรับ Dynamic ให้เพิ่มกำลังเสียง แต่ไม่ Peak เพราะใช้ Limiter กดสัญญาณออกไม่ให้เกินเกณฑ์ที่กำหนด ถามว่ามันจะดังได้ยังไง หลายคนคงสงสัย (ใช้บีบอัดที่เอาพุทมันจะดังยังไงสัญญาณเสียงมันจะไม่ค่อยเหรอ) ผมยกตัวอย่างให้ฟัง สมมุติว่าสัญญาณเสียงเปรียบเสมือนสายน้ำที่ไหลมาตามสายยาง หลายคนคิดว่าถ้าอยากให้น้ำไหลแรงก็เปิดก๊อกน้ำ ( การเปิดก๊อกน้ำก็เหมือนกับการเร่ง Volume เสียงเท่านั้น ) แต่การใช้ Compressor วางไว้ที่ตำแหน่ง Output ก็เหมือนกับเราบีบหัวสายยางไว้ มันจะทำให้สายน้ำพุ่งแรง โดยที่เราไม่ต้องไปเปิดก๊อกมาก ( เข้าใจหรือยังครับ ) เมื่อสายน้ำพุ่งแรงตามทฤษฎีการบีบอัด เช่นกันครับถ้าเราวาง Compressor ที่เอาพุทก็เหมือนกับเราบีบสายยางนั่นแหละครับ ผมเคยเอา Compressor จะไปลองปรับกับเครื่องเสียงที่เขาเปิดกลางแจ้ง คนคุมเครื่องเสียงที่เขาไม่รู้จัก Compressor เขาบอกว่าเอามาต่อใส่กับเครื่องทำไมมันเป็นแค่ตัวตัดความถี่ ( Crossover ) ว่าเข้าไปนั่น อย่าไปว่าเขาเลยครับเขาไม่รู้ ผมก็ยังขำๆอยู่เลย อ่านยังไงว่า Compressor เป็น Crossover เอ้อ สุดท้ายพอผมลองปรับใส่กับเครื่องเสียงเขา มันช่วย Boot พลังเสียงดังแน่น กระชับ ยิ่งเบสยิ่งแน่นเป็นออกแต่ละลูก เป็นชิ้นๆเลยครับ ( ไอ้คนที่ไม่รู้แถมดูถูกอีกฟังแล้วอ้าปากเลยครับ ) ดังก็ดังแถมเสียงลำโพงก็ไม่แตก ดังแน่น ได้ยินว่าตอนหลังไปหาซื้อมาใช้เหมือนกัน แต่ได้ยินว่าซื้อมาแล้วปรับไม่เป็น (ฮ่า) นั่นแหละครับประสิทธิภาพของ Compressor ที่ Sound Engineer ต้องมีไว้ประจำตัวเหมือนกระบี่ติดตัวจอมยุทธนั่นแหละครับ

 

Region Waveform

ภาพแสดงถึงไฟล์ Waveform ที่ผ่านการกระบวนการของ Compressor แล้วโดยเปรียบเทียบกับไฟล์ที่ยังไม่ผ่าน Compressor

อธิบายภาพด้านบนเพื่อเปรียบเทียบ Wavefrom ของงานที่ผ่าน Compressor ด้านบนคือไฟล์เสียงดิบๆที่บันทึกสดเข้ามาโดยไม่ผ่าน Compressor ส่วนไฟล์ด้านล่างคือไฟล์ของชิ้นงานด้านบนที่ผ่าน Compressor แล้วเอามาวางเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่า ไฟล์ด้านบนจะมีช่วงไดนามิคที่เบาและหนัก แตกต่างกันไปในตลอดช่วงความถี่ แต่ไฟล์ด้านล่างที่ผ่าน Compressor แล้ว จะเห็นว่า ช่วงที่เบา Compressor จะทำหน้าที่บูตเสียงขึ้นมา ส่วนช่วงที่ดังเกินไป Compressor จะทำหน้าที่กดสัญญาณเสียง ให้ได้ในระดับที่ค่อนข้างสมูท และกลมกลืนกัน ให้ท่านลองเปรียบเทียบความแตกต่างดู




รู้เรื่องเครื่องเสียง

เครื่องเสียงกลางแจ้ง
ทำระบบเน็ตเวิร์ก เรื่องเลเยอร์นี้สำคัญ
Dante Gateway ตอนที่ 4 article
Dante audio network ตอนที่ 3 article
Dante network ตอนที่ 2 article
รู้เรื่องระบบ Dante ตอนที่ 1 article
ระบบ Dante
กล้องโทรทัศน์วงจรปิดประเภทไอพี Spec IP Camera with DIVAR IP 7000
Spec IP Camera with DIVAR IP 3000
สเปคของกล้องวงจรปิด และ DVR
เครื่องรับวิทยุ AM FM ดิจิตอล
คู่มือระบบเสียง
การกำหนด TOR ระบบเสียงประกาศดิจิตอล
กำหนดสเป็ค ระบบเสียงประกาศแบบดิจิตอล
คุณลักษณะ ระบบเสียงประกาศ 16, 24, 32 โซน
ความต้องการระบบเสียงประกาศ 120 โซน
การกำหนดสเป็คระบบเสียงประกาศ 6 โซน
การออกแบบระบบเสียงประกาศ
CCTV CONCEPT DESIGN article
การตั้งค่าไมโครโฟน
การต่อสายสัญญานแบบต่างๆ
การปรับแต่ง / การใช้งาน อีควอไลเซอร์ (EQUALIZER)



Copyright © 2024 All Rights Reserved.
เพจเฟซบุ๊ค